กรมปศุสัตว์ เผยท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 สินค้าปศุสัตว์ส่งออกครึ่งปีแรกยังคงพุ่งแรงกว่า 11% มูลค่ากว่า 95,000 ล้านบาท
กรมปศุสัตว์เตรียมวางแนวทางการเคลื่อนย้ายน้ำนมดิบสำหรับศูนย์รวมนมฯ ไม่กระทบเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมรายย่อย ทำให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ พ.ศ.2558 เพื่อความปลอดภัยผู้บริโภค (128/2564)
เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรภาคตะวันออก เผยสภาวะอากาศร้อน-ภัยแล้ง-อากาศแปรปรวณ ส่งผลหมูอ่อนแอเจ็บป่วยง่าย ทำให้อัตราเสียหายเพิ่มมากกว่า 10% ต้นทุนซื้อน้ำ-ค่าไฟ-ค่าเวชภัณฑ์เพื่อการป้องกันโรคเพิ่มกว่า 100 บาทต่อตัว ซ้ำต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่ม
นายเสน่ห์ นัยเนตร ประธานกรรมการชุมนุมสหกรณ์การปศุสัตว์ภาคตะวันออก จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์การเลี้ยงสุกรว่า จากปัญหาอากาศร้อนและภัยแล้งจนถึงอากาศแปรปรวนตลอดทั้งวันในปัจจุบัน บางพื้นที่ร้อนอบอ้าวจนถึงมีฝนตกจากพายุฤดูร้อน ทำให้สัตว์ปรับสภาพร่างกายไม่ทัน เกิดความเครียด กินอาหารน้อยลง ร่างกายอ่อนแอและอาจเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น การเติบโตช้าลง พบว่าอัตราการสูญเสียในฟาร์มจากภาวะอากาศดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 10% ส่งผลให้เกษตรกรมีต้นทุนเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมาเกษตรกรต่างพยายามป้องกันโรคแอฟริกันสไวน์ฟีเวอร์ หรือ ASF ในสุกร เพื่อไม่ให้โรคนี้เข้ามาทำลายอุตสาหกรรมการเลี้ยงหมูของไทยได้ ความพยายามในการป้องกัน ASF ของเกษตรกรทุกคนทำให้ไทยเป็นประเทศเดียวที่ปลอดโรคนี้ แม้ว่าเกษตรกรต้องมีต้นทุนเพิ่มแต่ก็ยินดีปฏิบัติตามมาตรฐานการเลี้ยงและการป้องกันโรคที่ภาครัฐแนะนะ พบว่าภาระค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันโรคเพิ่มขึ้นอีกกว่า 100 บาท ทั้งจากการใช้ยาฆ่าเชื้อพ่นป้องกันทุกวันๆละ 2 ครั้ง และค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแรงงาน
อ่านต่อเพิ่มเติม >>https://www.ryt9.com/s/prg/3130083
แหล่งที่มา RYT9 ข่าวปศุสัตว์
ผู้เลี้ยงบ่นอุบ "12 พ.ค." พ่อค้าไข่ไก่ปรับราคาลดลงอีก 20 สตางค์ เหลือ 2.40 บาท จนกว่าจะเปลี่ยนราคา "มาโนช" โอดกรรมของคนเลี้ยงช่วงไข่ล่องหนก็โดนกล่าวหาว่ากักตุนตรวจฟาร์มทุกวัน ไล่จับราวกับโจร ตอนไข่ราคาถูกหายหมด
พลิกย้อนไปเมื่อประมาณปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ไทยเกิดวิกฤติไข่ไก่ 40 ล้านฟอง/วัน จู่ก็หายออกไปจากตลาดโดยไม่ทราบสาเหตุจนทำให้ กระทรวงพาณิชย์ต้องใช้ยาแรงห้ามส่งออกไข่ไก่ ตรวจสต็อกไข่ไก่ ใครขายแพง กักตุน มีโทษจับคุก มีสถิติการจับกุมเป็นรายวัน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมาตรการห้ามการส่งออกไข่ไก่สดไปนอกราชอาณาจักรสิ้นผลใช้บังคับแล้ว ซึ่งส่งผลให้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นไป ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการส่งออกไข่ไก่สดไปนอกราชอาณาจักรได้ตามปกติแล้ว
แหล่งข่าวผู้เลี้ยงไข่ไก่ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 สมาคมผู้ผลิต ผู้ค้าและส่งออกไข่ไก่ ได้ขอแจ้งราคาแนะนำไข่ไก่คละ ณ หน้าฟาร์มเกษตรกร วันที่ 12 พฤษภาคม 2563 ราคาแนะนำไข่ไก่คละหน้าฟาร์มอยู่ที่ฟองละ 2.40 บาท ปรับลดลงมา 20 สตางค์ จากราคาก่อนหน้านี้ 2.60 บาทต่อฟอง ทั้งนี้หากมีการเปลี่ยนแปลงราคา ทางสมาคมจะมีการแจ้งให้ทราบต่อไป
แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ
อธิบดีกรมปศุสัตว์ ย้ำมาตรฐานปศุสัตว์ไทยแกร่ง ไม่เคยพบหมู-ไก่เป็นเอดส์ในทุกพื้นที่ ชี้ข้อความที่ส่งต่อในโลกโซเชียล เป็นข่าวเท็จที่ถูกส่งต่อมาตั้งแต่ปี 2551 และมีการวนกลับมาแชร์กันทุกปี เตือนหยุดโพสต์หยุดแชร์ข่าวลวงผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โทษหนักทั้งจำทั้งปรับ
ฃ
อธิบดีกรมปศุสัตว์ ย้ำมาตรฐานปศุสัตว์ไทยแกร่ง ไม่เคยพบหมู-ไก่เป็นเอดส์ในทุกพื้นที่ ชี้ข้อความที่ส่งต่อในโลกโซเชียล เป็นข่าวเท็จที่ถูกส่งต่อมาตั้งแต่ปี 2551 และมีการวนกลับมาแชร์กันทุกปี เตือนหยุดโพสต์หยุดแชร์ข่าวลวงผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โทษหนักทั้งจำทั้งปรับ
นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ในสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะ LINE กลุ่มต่างๆ มีการนำข้อความเท็จเรื่องหมูไก่เป็นเอดส์ วนกลับมาแชร์กันอีกครั้ง ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่มีมูลความจริง เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นแล้วส่งต่อกันตั้งแต่ปี 2551 ที่เกิดจากผู้ไม่หวังดีคิดทำลายภาคอุตสาหกรรม ส่วนที่ข้อความยังถูกส่งต่ออีก คาดว่าเป็นเพราะข้อความเท็จนี้น่าจะฝังอยู่ในระบบอินเทอร์เน็ต หรืออาจมีขบวนการจ้องทำลายเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีเจตนาทำร้ายเกษตรกรไทย
“ปัจจุบันมีวิกฤติโควิด-19 ที่สร้างความหวั่นวิตกให้กับทุกฝ่ายและส่งผลกระทบกับพี่น้องประชาชนและเศรษฐกิจของชาติอยู่แล้ว ขอให้ผู้รับข้อมูลข่าวสารใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และหยุดส่งต่อข้อมูลเท็จ โดยเฉพาะเรื่องหมูไก่เอดส์ที่ส่งต่อๆกันมายาวนานกว่า 12 ปี เพราะมีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มีโทษหนักทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งที่ผ่านมามีกรณีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในประเด็นนี้มาแล้ว เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 โดยผู้กระทำผิดสารภาพศาลจึงมีคำสั่งปรับ 5 หมื่นบาท โทษจำคุกรอลงอาญา 2 ปี และให้บริการสังคม 24 ชั่วโมง” อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าว
ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์มีมาตรการเฝ้าระวังโรคติดต่อในสัตว์ ทั้งหมูและสัตว์ปีกอย่างเข้มงวดและต่อเนื่องมาโดยตลอด และไม่เคยพบกรณีหมู-ไก่เป็นเอดส์ในทุกพื้นที่ จึงขอให้เกษตรกรและประชาชนอย่าได้ตื่นตระหนก และไม่ควรแชร์ข้อความที่ไม่เป็นความจริงดังกล่าวอีกต่อไป เนื่องจากส่งผลกระทบร้ายแรงต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารของไทย ที่มีมาตรฐานการผลิตในระดับสากล และกระทบกับผู้บริโภคในวงกว้าง ขณะเดียวกัน หากพบการส่งต่อข้อความดังกล่าวขอให้ช่วยกันเก็บหลักฐาน และส่งมายังกรมปศุสัตว์ ผ่าน application "DLD 4.0" เพื่อเอาผิดกับกลุ่มผู้ไม่หวังดีต่อไป./
แหล่งที่มา : คณะทำงานโฆษกกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
วิกฤติโคโรนา-อหิวาต์แอฟริการะบาด ดันส่งออกไก่-หมูไทยพุ่ง 12 โรงงานแปรรูปไก่ลุ้นจีนไฟเขียวผ่านรับรองเพิ่ม ช่วยดันตัวเลขโตเท่าตัว ขณะกัมพูชาออร์เดอร์หมูเพิ่ม 6,500 ตัวต่อวัน ผู้เลี้ยงลงขัน 100 ล้าน ป้องกันโรคเต็มที่
คณะผู้บริหาร VICTAM Corporation และ VIV worldwide ประกาศการจัดงาน VICTAM and Animal Health and Nutrition Asia 2020 เป็นวันที่ 9-11 กรกฎาคม พ.ศ. 2563 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ
การตัดสินใจในครั้งนี้เป็นผลมาจากสถานการณ์ของ COVID-19 ซึ่งทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 39 วันที่ 28 กุมภาพันธ์ โดยมีนัยสำคัญว่า การประเมินความเสี่ยงของสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในหลากหลายภูมิภาคและระดับโลก และได้เพิ่มระดับการระบาดรุนแรงขั้นสูง ไปสู่ขั้นวิกฤต
VICTAM and Animal Health and Nutrition Asia 2020 งานแสดงสินค้าและเทคโนโลยีด้านอาหารสัตว์ สุขภาพและโภชนาการสัตว์ครบวงจรครั้งแรกของเอเชีย พร้อมเปิดปรากฎการณ์ความร่วมมือครั้งยิ่งใหญ่จากสองผู้จัดงานมืออาชีพ โดยงานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24- 26 มีนาคม 2563 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค พบกับผู้เข้าร่วมแสดงงานกว่า 400 ราย บนพื้นที่จัดแสดงงานกว่า 17,800 ตร.ม. พร้อมตอบโจทย์ผู้เข้าเยี่ยมชมงานอย่างครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการผลิตอาหารสัตว์ไปจนถึงเรื่องของสุขภาพสัตว์ และเวชภัณฑ์สัตว์ นอกจากนี้ ภายในงานยังนำเสนอหลากหลายงานประชุมและงานสัมมนาโดยวิทยากรชั้นนำจากนานาประเทศ ด้วยหัวข้องานสัมมนาที่หลากหลายและครอบคลุม เพื่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเทคโนโลยีผลิตอาหารสัตว์ สารอาหารและโภชนาการสัตว์ ตลอดจนสุขภาพสัตว์แบบเต็มอิ่ม
สำหรับผู้เข้าชมงานจะได้เยี่ยมชมงานอย่างจุใจด้วยพื้นที่การจัดงาน 3 ฮอลล์แสดงสินค้า เพื่ออัปเดทและเจรจาธุรกิจในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก โดยท่านจะได้พบปะกับผู้เชี่ยวชาญในวงการ กลุ่มผู้ซื้อรายสำคัญมากกว่า 9,000 ราย ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มเจ้าของกิจการ CEOs, นักพัฒนาสูตรอาหารสัตว์, ผู้จัดการโรงสี,นักโภชนาการ, ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ, สัตว์แพทย์, สถาบันการศึกษา, และอื่นๆอีกมากมาย
“ประเทศไทย เป็นหนึ่งในพื้นที่การจัดงานที่เราไว้วางใจและเชื่อมั่นในการเป็นศูนย์กลางการจัดงานของภูมิภาคเอเชียมานานกว่า 30 ปี ซึ่งแน่นอนว่าประเทศไทยมีตลาดการค้าที่มีศักยภาพในแง่ของการลงทุน ผู้ซื้อ และตัวแทนจำหน่ายที่มีคุณภาพ” Sebas van den Ende, ผู้จัดการทั่วไปของ Victam International กล่าว งาน VICTAM and Animal Health and Nutrition Asia 2020 ได้ถูกออกแบบมาอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อตอบโจทย์กลุ่มธุรกิจสำคัญต่างๆ ในอุตสาหกรรม รวมถึงกลุ่มผู้ซื้อเป้าหมายทั้งตลาดในประเทศไทยและตลาดที่สำคัญทั่วโลก เรามีการสร้างแคมเปญ “Industry Leaders Program” ซึ่งเป็นแคมเปญที่จะคัดสรรกลุ่มผู้ซื้อรายสำคัญจากทั่วอุตสาหกรรมมากถึว 150 ราย โดยเรียนเชิญให้มาเป็นแขกคนพิเศษเพื่อมาเยี่ยมชมงานพร้อมด้วยสิทธิพิเศษต่างๆอีกมากมาย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการภายในงาน” Heiko M. Stutzinger ผู้อำนวยการ VIV worldwide และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วีเอ็นยู เอ็กซิบิชั่นส์ เอเชีย แปซิฟิค กล่าวเสริม
คณะผู้จัดงานได้มีการประชาสัมพันธ์การจัดงานในครั้งนี้มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การจัดงานแถลงข่าวที่ประเทศพม่า ในเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา จนกระทั่งการมาถึงการจัดงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการของงาน VICTAM and Animal Health and Nutrition Asia 2020 ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 30 มกราคม ที่โรงแรมเดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท กรุงเทพฯ
ภายในงานแถลงข่าว คุณ Sebas van den Ende และ คุณ Heiko M. Stutzinger ยังได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานที่จะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคมนี้ รวมถึงเล่าถึงที่มาของความร่วมมือระหว่าง VICTAM และ VIV และสิ่งที่น่าสนใจภายในงาน รวมถึงมีการนำเสนอตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่จะนำมาจัดแสดงงานจากผู้เข้าร่วมแสดงงานบางส่วนด้วย
พิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการจะจัดขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม 2563 ณ บริเวณ V-Square ใน ฮอลล์ 100-101 ที่ไบเทค ตั้งแต่เวลา 10.30 – 11.30 น. ซึ่ง V-Square จะเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ใหม่ในปีนี้ บริเวณ V-Square เป็นเสมือนเวทีที่จัดสรรไว้เพื่อจัดกิจกรรมต่างๆ ภายในช่วงจัดงาน ไม่ว่าจะเป็น พิธีเปิดงาน งานเลี้ยงรับรอง และ เลานจ์สำหรับแขก VIP ทางผู้จัดงานได้ตั้งชื่อบริเวณนี้ว่า V-Square มาจากตัว V ของ VICTAM และ VIV พันธมิตรทั้ง 2 ของการจัดงานในครั้งนี้
ในงาน VICTAM and Animal Health and Nutrition Asia มีการจัดประชุมและสัมมนาทางเทคนิคที่มีคุณภาพมากมายในด้านของเทคโนโลยีผลิตอาหารสัตว์ สารอาหารสัตว์และสุขภาพสัตว์ ตั้งแต่หัวข้อแนวโน้มและทิศทางในอนาคตของอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ ,ความยั่งยืนของอาหารสัตว์เลี้ยง ไปจนถึงมุมมองเกี่ยวกับการทำงานและโภชนาการของโปรตีนจากแมลงและยาปฏิชีวนะทางเลือก นี่เป็นหัวข้อส่วนหนึ่งที่จะทำให้เห็นว่ามางานเดียว ท่านจะสามารถอัพเดทข่าวสารความรู้ใหม่ๆ ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรมตลาดจนเทรนด์ใหม่อย่างแท้จริง ภายในงาน VICTAM and Animal Health and Nutrition Asia จะมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยจากบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมมากมาย อาทิ Andritz, Biomin, Buhler, DSM, Famsun, Impextraco, Kemin, K-PRO, Trouw Nutrition, Van Aarsen
อนึ่งจากความสำเร็จของการร่วมมือกันจัดงานที่กรุงเทพแล้ว ทั้ง VICTAM และ VIV worldwide ยังสานต่อความร่วมมือยกระดับการจัดงานแสดงสินค้าครั้งสำคัญต่างทวีป โดยงาน VICTAM International exhibition และ VIV Europe 2022 กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน 2565 ณ Jaarbeurs เมืองอูเทรคต์ (Utrecht) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญนี้ในงานแถลงข่าวที่กรุงเทพที่แรกของโลก
คณะผู้จัดงานทั้ง VICTAM และ VIV พร้อมอย่างยิ่งที่จะต้อนรับผู้เข้าชมงานทุกท่าน ตั้งแต่วันที่ 24 – 26 มีนาคม 2563 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค ท่านสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมของงานและผู้จัดงานแนะนำให้ท่านลงทะเบียนล่วงหน้าทางออนไลน์เพื่อรับบัตรเข้าชมงานได้อย่างรวดเร็วได้ที่เว็บไซต์ www.victamasia.com และ www.vivhealthandnutrition.nl
แหล่งที่มา : คมชัดลึก
วันที่ 20 สิงหาคม 2562 นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมหารือการค้าเพื่อส่งออกโคเนื้อไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ผ่านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือ สปป.ลาว พร้อมด้วย นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ นายอำพันธุ์ เวฬุตันติ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ นายศรายุทธ ยิ้มยวน รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นายสมชาย ดวงเจริญ ผู้ประกอบการบริษัท LS trading export import Co Ltd ฝ่ายลาว และนายหยางเจียง ผู้จัดการบริษัท LS chengkang ฝ่ายจีน ณ ห้องประชุม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การหารือกันในวันนี้ ทั้ง 3 ฝ่าย ต่างมีความยินดีในการค้าโคเนื้อร่วมกัน
อย่างไรก็ตามไทยกับจีนยังไม่สามารถเจรจาการค้าได้โดยตรง จึงใช้บริษัทของลาว ซึ่งเป็นบริษัทลูกจากจีนเป็นตัวกลางในการส่งต่อโคเนื้อของไทย พร้อมกันนี้ จีนได้กำหนดคุณสมบัติของโคที่จะรับซื้อดังนี้
“สำหรับบทบาทหน้าที่ของไทย จะวางแผนเตรียมการในกระบวนการผลิต การรวมกลุ่มเกษตรกร หาพื้นที่เพื่อวางฐานการผลิต ซึ่งขณะนี้ได้มีนโยบายที่จะให้มีคอกขุนกลาง เลี้ยงโคจำนวน 1,000 ตัวในพื้นที่เป้าหมายแต่ละจังหวัด เพื่อเป็นทั้งคอกขุนในช่วงที่ต้องเพิ่มน้ำหนักโคให้ได้ตามคุณสมบัติที่จีนกำหนด ขณะเดียวกันต้องเป็นคอกมาตรฐานกักกันโรค และได้มารตฐานฟาร์มโคเนื้อเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศอีกด้วย” นายประภัตร กล่าว
ที่มา : เว็บไซต์กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เว็บไซต์คมชัดลึก
ผู้เลี้ยง 6 ภาคเตรียมยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรั๊มป์ ขอให้ระงับการกดดันรัฐบาลไทยให้เปิดตลาดเนื้อสุกรจากสหรัฐเพื่อรักษามิตรภาพที่ดีระหว่างพลเมืองของไทยและสหรัฐอเมริกา
ผู้เลี้ยง 6 ภาคเตรียมยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรั๊มป์ ขอให้ระงับการกดดันรัฐบาลไทยให้เปิดตลาดเนื้อสุกรจากสหรัฐเพื่อรักษามิตรภาพที่ดีระหว่างพลเมืองของไทยและสหรัฐอเมริกา
8 พฤษภาคม 2561 สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ - ผู้เลี้ยงสุกรทั่วไทย 6 ภาคเตรียมยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรั๊มป์ ขอให้ระงับการกดดันรัฐบาลไทยให้เปิดตลาดเนื้อสุกรจากสหรัฐเพื่อรักษามิตรภาพที่ดีระหว่างพลเมืองของไทยและสหรัฐอเมริกา เพราะปี 2561 ครบรอบการเปิดสัมพันธ์ทางการทูตครบ 200 ปี หลังเปิดความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
วันที่ 9 พฤษภาคม 2561 พิธีไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วไทย โดยใช้หัวหมูรวมจำนวน 4,247 หัว จะเป็นหน้าหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์ของวงการสุกรไทย ที่มีพัฒนาการการเลี้ยงสู่ระดับโลก แต่ยังมีเกษตรกรอีกจำนวนมากที่จะต้องช่วยกันนำพากันสู่อาชีพที่มั่นคง ยั่งยืน ให้เป็นมรดกการทำกินตกทอดต่อกันไปชั่วลูกชั่วหลาน นอกเหนือจากการสร้างอาหารปลอดภัยให้ประชากรของชาติ
ความพยายามเปิดตลาดเนื้อสุกรสู่ประเทศไทยที่มีมากอย่างยาวนานของสหรัฐอเมริกา โดยอาจมองข้ามความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งสองประเทศ จนอาจกลายเป็นการสร้างปมบาดหมางกันระหว่างพลเมืองของสองประเทศ ที่มีบริษัทข้ามชาติของสหรัฐมาประกอบธุรกิจและได้รับการอุดหนุนด้วยดีเสมอมากับพลเมืองของไทย
ในพิธีครั้งนี้นอกเหนือจากการไหว้สักการะและยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านผู้นำภูมิภาค พร้อมกันนี้จะมีการหนังสือถึง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรั๊มป์ ผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) สภาผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติสหรัฐ(NPPC) และท่านเอกอัครราชทูต กลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยด้วย โดยเน้นให้มองลึกถึงมิตรภาพและการไม่เปิดตลาดโดยมองข้ามความสัมพันธ์ที่ดีของพลเมืองทั้งสองประเทศ
เนื้อหาให้จดหมายภาษาอังกฤษจะเป็นดังนี้ :
เรียน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรั๊มป์
ผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR)
สภาผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติสหรัฐ(NPPC)
ผ่าน ท่านเอกอัครราชทูต กลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย
เนื่องจากกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรไทย ได้ติดตามความพยายามแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐอเมริกา และความพยายามช่วยเหลือการค้าเนื้อสุกรของเกษตรกรสหรัฐ โดยการเจรจากดดันรัฐบาลไทยให้เปิดตลาดเนื้อสุกรผ่านที่ประชุมคณะมนตรีภายใต้กรอบความตกลงด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา (TIFA JC) มาเป็นระยะหลายปี
ข้าพเจ้าขอแนะนำให้รู้จักกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรไทยที่มีผลผลิตสุกรท่วมท้นเกินกว่าความต้องการการบริโภคภายในประเทศประมาณกว่าร้อยละ 5 ในแต่ละปี และไม่ปรากฏว่าขาดแคลนผลิตภัณฑ์จากสุกรแต่ประการใดในทุกๆ ปี หลายสิบปีที่ผ่านมาผู้เลี้ยงสุกรไทยและภาครัฐร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมสุกรเพื่อการเป็นอุตสาหกรรมเลี้ยงชีพของพลเมืองไทย โดยดำเนินการพัฒนาสายพันธุ์ อาหารสัตว์ การจัดการสุขภาพสัตว์ เพื่อเกษตรกรของประเทศและอาหารปลอดภัยของประชากรไทย
อุตสาหกรรมปศุสัตว์ทั่วโลกเป็นเสาหลักของการบูรณาการการเกษตรเพื่ออุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอาหารมนุษย์โดยเป็นห่วงโซ่อุปทานของทั้งต้นน้ำและปลายน้ำตามลำดับ เช่นเดียวกันกับอุตสาหกรรมสุกรและเนื้อสุกรของสหรัฐและการส่งออกที่สร้างมูลค่าเพิ่มต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น เกษตรกรรมพืชอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ บริษัทเวชภัณฑ์สัตว์ และเป็นการสร้างผลบวกต่อดุลการค้าของประเทศ ซึ่งห่วงโซ่อุปทานการเลี้ยงสุกรของไทยก็เป็นไปในลักษณะเดียวกับอุตสาหกรรมสุกรของโลก
บริษัทข้ามชาติสัญชาติอเมริกันจำนวนมากเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยและได้รับการต้อนรับและสนับสนุนด้วยดีจากคนไทยซึ่งกว่าร้อยละ 25 เป็นประชากรจากภาคเกษตรกรรมที่รวมไปถึงประชากรที่อยู่ในภาคปศุสัตว์ เช่น อุตสาหกรรมสุกร ไก่เนื้อ และไก่ไข่ ฯลฯ
ถ้ารัฐบาลสหรัฐยังคงกดดันรัฐบาลไทยให้เปิดตลาดผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรจากสหรัฐ แน่นอนว่าเป็นผลดีต่อสภาผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติของสหรัฐและผู้เลี้ยงสุกรสหรัฐ ซึ่งมันจะเป็นภัยพิบัติต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรไทยและกระทบต่อเนื่องไปถึงเกษตรกรพืชอาหารสัตว์อื่นๆ ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้เป็นช่องทางทำมาหากินของคนไทย จากการเสียเปรียบในด้านการแข่งขัน กับ สหรัฐที่เป็นผู้ส่งออกเนื้อสุกรรายใหญ่ที่สุดของโลก
การแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าจำเป็นที่จะต้องขยายการส่งออกแต่ไม่ใช่กระทำการในลักษณะทำลายล้างมนุษยชาติด้วยกัน เพราะว่าการเกษตรเป็นการเลี้ยงชีพพื้นฐานของมนุษยชาติ ฝากให้ท่านพิจารณาด้วยว่ามนุษยธรรมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเข้าใจระหว่างประเทศ
ผู้เลี้ยงสุกรไทยขอแนะนำสหรัฐว่าควรหยุดเจรจากดดันรัฐบาลไทยให้เปิดตลาดเนื้อสุกรส่งออกมายังประเทศไทยที่มีผลผลิตมากอย่างท่วมท้นเกินกว่าความต้องการการบริโภคภายในประเทศ ในขณะที่มีการคัดค้านต่อเนื่องจากผู้เลี้ยงสุกรไทย ผู้เลี้ยงสุกรไทยใคร่ขอให้ตระหนักบนพื้นฐานของมิตรภาพระหว่างพลเมืองสหรัฐอเมริกากับพลเมืองของไทย
ข้อมูลจาก : สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งประเทศไทย