น.สพ.ธนวัฒน์ คงเจริญสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไบโอซายน์ แอนิมัล เฮลธ์ (มหาชน) หรือBIS เปิดเผยว่า ธุรกิจกัญชง เป็นธุรกิจใหม่ที่ กลุ่ม BIS ได้วางแผนเพื่อพัฒนาสินค้าปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยง ต่อยอดการผลิตและใช้ประโยชน์เพื่อยกระดับกัญชง กัญชาให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นโดย BIS มีแผนพัฒนากัญชง กัญชาในการรักษาและยกคุณภาพชีวิตในสัตว์แบบครบวงจร เนื่องจากงานวิจัยพบว่ากัญชงเป็นพืชที่มีโปรตีนสูงมากและของเหลือจากการเก็บเกี่ยวหรือการนำมาแปรรูป สามารถนำมาเพิ่มมูลค่าในการผลิตเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้
อีกทั้งปัจจุบันตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงมีการเติบโตค่อนข้างสูงในประเทศ และต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอนาคตไกล จึงสามารถสร้างความแตกต่างและเพิ่มศักยภาพในการเข้าแข่งขันสู่ตลาดอาหารสัตว์โลก และสร้างอาชีพให้กับเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นได้
โดยล่าสุด บริษัท นิวทริชั่น อิมพรูฟเมนท์ จำกัด บริษัทในเครือของ BIS Group ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) ร่วมมือสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการใช้ประโยชน์พืชสมุนไพรทางสัตวแพทย์ กับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อพัฒนาองค์ความรู้กัญชง กัญชา เชิงเภสัชในด้านตลาดปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยง
น.สพ.ปรเมศวร์ ขำภักตร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ BIS กล่าวว่า ปัจจุบัน กัญชง กัญชา มีการวิจัยและใช้ช่วยรักษาในมนุษย์อย่างแพร่หลายและเป็นที่ยอมรับในประสิทธิภาพมากขึ้น บริษัท นิวทริชั่น อิมพรูฟเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย BIS ได้เล็งเห็นถึงโอกาสและประโยชน์ที่พืชสมุนไพรจะสามารถช่วยเรื่องการรักษา และยกคุณภาพชีวิตในสัตว์ได้
ดังนั้นจึงได้จับมือร่วมกับ คณธสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อทำการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาการใช้ประโยชน์พืชกัญชง กัญชา อาทิ ด้านเภสัชกรรม สารเสริมสุขภาพตามหลักวิชาการ และถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงการพัฒนาบุคลากรให้เพิ่มพูนความรู้ ทักษะในการผลิตและใช้ประโยชน์จากกัญชง เพื่อเป็นการยกระดับการใช้ประโยชน์จากพืชกัญชงให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ซึ่งนับเป็นโอกาสและแนวโน้มที่ดีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อตอบรับนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาลและสร้างความท้าทายทางเศรษฐ พร้อมนวัตกรรมใหม่ๆอีกด้วย
ล่าสุดผลประกอบการไตรมาส 1/2565 ของ BIS มีรายได้รวม 540 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 429 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2 % และมีกำไรสุทธิ 17 ล้านบาท เติบโต 47 % จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11.5 ล้านบาท ซึ่งผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดย 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ดังนี้
1.กลุ่มยาและวัคซีนสัตว์ (Animal Health)
2.กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินสัตว์(Nutrition)
3.กลุ่มชุดตรวจโรคสัตว์ (Diagnostic)
ทั้ง 3 กลุ่มรวมกันสร้างรายได้ 65 % ของรายได้รวม โดยเฉพาะชุดตรวจโรอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine : AFS) มีการเติบโตของรายได้สูงสุด เพราะเป็นอุปกรณ์สำคัญในการควบคุมการแพร่กระจายโรคนี้ ซึ่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปศุสัตว์โดยตรง จึงมีความต้องการสูงจากกลุ่มฟาร์มสุกร นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์กลุ่มวัตถุดิบอาหารสัตว์ มีรายได้เติบโตสูงเช่นกัน
ข้อมูล : หนังสือพิมพ์รายวันข่าวหุ้น กระบอกเสียงอิสระแหล่งตลาดทุน ธุรกิจ
21 มิถุนายน 2565 นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เผยว่า ตามที่มีรายงานข่าวออนไลน์ถึงผลการศึกษาในประเทศไทย พบคนติดเชื้อไวรัสโคโรน่าจากแมว (COVID-19) เมื่อปีที่แล้ว โดยอ้างอิงจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ที่ได้รับการตีพิมพ์เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2565 ว่า มีพ่อลูกคู่หนึ่ง วัย 64 และ 32 ปี มีอาการป่วยและตรวจพบเชื้อ COVID-19 ส่งตัวมารักษาที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2564 ทั้ง 2 คนได้พาแมวที่เลี้ยงมาด้วย เมื่อมาถึงแมวถูกส่งไปยังโรงพยาบาลสัตว์เพื่อทำการตรวจ โดยสัตวแพทย์หญิงวัย 32 ปี ตรวจหาเชื้อด้วยการแยงจมูกและทวารหนัก ซึ่งพบผลเป็นบวกต่อเชื้อ COVID-19 โดยในขณะที่กำลังตรวจนั้น แมวได้จามใส่สัตวแพทย์ ที่มีการป้องกันโดยใส่ถุงมือ หน้ากากอนามัย แต่ไม่ได้ใส่เฟสชีลด์ ต่อมาในวันที่ 13 สิงหาคม 2564 หรือ 5 วันหลังจากนั้น สัตวแพทย์หญิงเริ่มมีอาการของการติดเชื้อ COVID-19 เช่น ไอและเป็นไข้ แต่ยังไม่ได้ไปพบแพทย์ จนกระทั่งวันที่ 15 สิงหาคม 2564 ได้ตรวจพบผลเชื้อไวรัสเป็นบวก
ซึ่งเมื่อวิเคราะห์การศึกษาลำดับจีโนม ประกอบกับระยะเวลาการติดเชื้อที่ใกล้เคียงกัน พบว่า การติดเชื้อของทั้งสัตวแพทย์หญิง แมว และเจ้าของอีก 2 คน มีความเกี่ยวข้องกันในทางระบาดวิทยา และเชื้อที่พบนั้น ยังไม่มีการระบาดในพื้นที่ของสงขลา และเนื่องจากสัตวแพทย์หญิงไม่เคยพบกับเจ้าของแมวมาก่อน ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานในครั้งนี้คือ สัตวแพทย์น่าจะติดเชื้อ COVID-19 มาจากที่แมวจามใส่หน้า การศึกษาครั้งนี้ถือเป็นรายงานชี้มีการแพร่ระบาดจากสัตว์สู่คนได้ แต่อย่างไรก็ดี พบว่าอัตราการเกิดของการแพร่ระบาดจากสัตว์สู่คนเป็นความเสี่ยงที่พบได้น้อยมาก
เชื้อไวรัสโคโรน่านั้นมีหลายชนิด บางชนิดสามารถทำให้เกิดโรคคล้ายหวัดในคน และบางชนิดทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ในสัตว์ เช่น วัวควาย อูฐ และค้างคาว เชื้อไวรัสโคโรนาในสุนัขและแมว สามารถแพร่ระบาดในสัตว์เท่านั้นและไม่แพร่ระบาดในคน สัตว์ในสวนสัตว์หรือเขตรักษาพันธุ์ เช่น กอริลล่า มิงค์ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ สามารถติดเชื้อไวรัสโคโรน่าได้ โดยส่วนใหญ่ติดเชื้อหลังจากสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ COVID-19 นอกจากนี้ องค์การสุขภาพสัตว์โลก (WOAH) ได้มีการรายงานว่าสัตว์ป่า เช่น กวางหางขาวมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นแหล่งรังโรคของเชื้อไวรัสโคโรน่าจึงจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติ่มและประเมินถึงผลกระทบอื่นที่อาจตามมาได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าขณะนี้ ยังไม่มีหลักฐานแสดงถึงการแพร่กระจายที่แน่ชัด แต่การแพร่กระจายเชื้อจากมนุษย์เข้าไปสู่ประชากรกวางหางขาวนั้นเกิดขึ้นหลายครั้ง ดังนั้นจึงควรมีการสร้างความตระหนักให้กับนักล่าและผู้ที่อาศัยหรือทำงานกับสัตว์ป่า เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิสัมพันธ์ที่ไม่จำเป็นกับสัตว์ป่าและหลีกเลี่ยงการทิ้งขยะหรือวัตถุของมนุษย์ไว้ในพื้นที่ป่าที่สัตว์ป่าสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยได้ร่วมมือกับ WOAH ในการรายงานเหตุการณ์การติดเชื้อไวรัสโคโรน่าในประเทศ โดยประเทศไทยได้ทำการรายงานการติดเชื้อว่ามีการติดเชื้อในสุนัขและแมว
โดยจากการสอบสวนสาเหตุพบว่าทุกเคสที่รายงานนั้นสัตว์เลี้ยงติดเชื้อจากการที่เจ้าของติดเชื้อ COVID-19 ทั้งสิ้น นอกจากนี้ กรมปศุสัตว์ ประเทศไทยยังมีโครงการการเฝ้าระวังการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าในสัตว์เลี้ยงที่มีอาการเสี่ยง เช่น มีการแสดงอาการทางระบบทางเดินหายใจ เป็นต้น หรือสัตว์เลี้ยงที่มาจากต่างประเทศพร้อมกับเจ้าของ โดยผลจากการตรวจเฝ้าระวังดังกล่าว ทำการตรวจวิเคราะห์หาเชื้อโดยสถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติ ในขณะนี้ ทุกตัวอย่างที่ให้ผลเป็นลบ ถึงแม้จะมีงานวิจัยรายงานว่าคนสามารถติดเชื้อจากแมวดังกล่าวได้นั้น แต่ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อได้ให้ข้อมูลว่า ความเสี่ยงจากการติดเชื้อจากสัตว์สู่คนนั้นยังอยู่ในระดับต่ำมาก ดังนั้น จึงขอให้ทุกท่านอย่าตระหนก หมั่นดูแลสัตว์เลี้ยงของท่านด้วยความใกล้ชิด อย่าปล่อยหรือทิ้งสัตว์เลี้ยงของท่านเพราะความกลัวจากสถานการณ์หรือข่าวดังกล่าว และหากเจ้าของสัตว์เลี้ยงมีอาการป่วยของ COVID-19 ขอให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์เลี้ยง
ท้ายนี้ กรมปศุสัตว์ ขอความร่วมมือเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์และเจ้าของสัตว์เลี้ยงทุกท่านให้ดูแลสัตว์ของตนเองให้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง และป้องกันสัตว์ของตนเองไม่ให้สัมผัสกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่จะนำเชื้อโรคเข้าสถานที่เลี้ยงสัตว์ พร้อมกับให้หมั่นสังเกตอาการของสัตว์อย่างสม่ำเสมอ หากพบสัตว์แสดงอาการน่าสงสัยให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่ หรือโทรแจ้งสายด่วนของกรมปศุสัตว์ที่เบอร์โทร 063-225-6888 หรือผ่านแอปพลิเคชัน DLD 4.0 “แจ้งการเกิดโรคระบาด” เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรได้ทันท่วงที อธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าวในที่สุด
ข้อมูล : Ch7
ผู้เลี้ยง 6 ภาคเตรียมยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรั๊มป์ ขอให้ระงับการกดดันรัฐบาลไทยให้เปิดตลาดเนื้อสุกรจากสหรัฐเพื่อรักษามิตรภาพที่ดีระหว่างพลเมืองของไทยและสหรัฐอเมริกา
ผู้เลี้ยง 6 ภาคเตรียมยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรั๊มป์ ขอให้ระงับการกดดันรัฐบาลไทยให้เปิดตลาดเนื้อสุกรจากสหรัฐเพื่อรักษามิตรภาพที่ดีระหว่างพลเมืองของไทยและสหรัฐอเมริกา
8 พฤษภาคม 2561 สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ - ผู้เลี้ยงสุกรทั่วไทย 6 ภาคเตรียมยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรั๊มป์ ขอให้ระงับการกดดันรัฐบาลไทยให้เปิดตลาดเนื้อสุกรจากสหรัฐเพื่อรักษามิตรภาพที่ดีระหว่างพลเมืองของไทยและสหรัฐอเมริกา เพราะปี 2561 ครบรอบการเปิดสัมพันธ์ทางการทูตครบ 200 ปี หลังเปิดความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
วันที่ 9 พฤษภาคม 2561 พิธีไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วไทย โดยใช้หัวหมูรวมจำนวน 4,247 หัว จะเป็นหน้าหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์ของวงการสุกรไทย ที่มีพัฒนาการการเลี้ยงสู่ระดับโลก แต่ยังมีเกษตรกรอีกจำนวนมากที่จะต้องช่วยกันนำพากันสู่อาชีพที่มั่นคง ยั่งยืน ให้เป็นมรดกการทำกินตกทอดต่อกันไปชั่วลูกชั่วหลาน นอกเหนือจากการสร้างอาหารปลอดภัยให้ประชากรของชาติ
ความพยายามเปิดตลาดเนื้อสุกรสู่ประเทศไทยที่มีมากอย่างยาวนานของสหรัฐอเมริกา โดยอาจมองข้ามความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งสองประเทศ จนอาจกลายเป็นการสร้างปมบาดหมางกันระหว่างพลเมืองของสองประเทศ ที่มีบริษัทข้ามชาติของสหรัฐมาประกอบธุรกิจและได้รับการอุดหนุนด้วยดีเสมอมากับพลเมืองของไทย
ในพิธีครั้งนี้นอกเหนือจากการไหว้สักการะและยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านผู้นำภูมิภาค พร้อมกันนี้จะมีการหนังสือถึง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรั๊มป์ ผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) สภาผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติสหรัฐ(NPPC) และท่านเอกอัครราชทูต กลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยด้วย โดยเน้นให้มองลึกถึงมิตรภาพและการไม่เปิดตลาดโดยมองข้ามความสัมพันธ์ที่ดีของพลเมืองทั้งสองประเทศ
เนื้อหาให้จดหมายภาษาอังกฤษจะเป็นดังนี้ :
เรียน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรั๊มป์
ผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR)
สภาผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติสหรัฐ(NPPC)
ผ่าน ท่านเอกอัครราชทูต กลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย
เนื่องจากกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรไทย ได้ติดตามความพยายามแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐอเมริกา และความพยายามช่วยเหลือการค้าเนื้อสุกรของเกษตรกรสหรัฐ โดยการเจรจากดดันรัฐบาลไทยให้เปิดตลาดเนื้อสุกรผ่านที่ประชุมคณะมนตรีภายใต้กรอบความตกลงด้านการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา (TIFA JC) มาเป็นระยะหลายปี
ข้าพเจ้าขอแนะนำให้รู้จักกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรไทยที่มีผลผลิตสุกรท่วมท้นเกินกว่าความต้องการการบริโภคภายในประเทศประมาณกว่าร้อยละ 5 ในแต่ละปี และไม่ปรากฏว่าขาดแคลนผลิตภัณฑ์จากสุกรแต่ประการใดในทุกๆ ปี หลายสิบปีที่ผ่านมาผู้เลี้ยงสุกรไทยและภาครัฐร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมสุกรเพื่อการเป็นอุตสาหกรรมเลี้ยงชีพของพลเมืองไทย โดยดำเนินการพัฒนาสายพันธุ์ อาหารสัตว์ การจัดการสุขภาพสัตว์ เพื่อเกษตรกรของประเทศและอาหารปลอดภัยของประชากรไทย
อุตสาหกรรมปศุสัตว์ทั่วโลกเป็นเสาหลักของการบูรณาการการเกษตรเพื่ออุตสาหกรรมอาหารสัตว์และอาหารมนุษย์โดยเป็นห่วงโซ่อุปทานของทั้งต้นน้ำและปลายน้ำตามลำดับ เช่นเดียวกันกับอุตสาหกรรมสุกรและเนื้อสุกรของสหรัฐและการส่งออกที่สร้างมูลค่าเพิ่มต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น เกษตรกรรมพืชอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ บริษัทเวชภัณฑ์สัตว์ และเป็นการสร้างผลบวกต่อดุลการค้าของประเทศ ซึ่งห่วงโซ่อุปทานการเลี้ยงสุกรของไทยก็เป็นไปในลักษณะเดียวกับอุตสาหกรรมสุกรของโลก
บริษัทข้ามชาติสัญชาติอเมริกันจำนวนมากเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยและได้รับการต้อนรับและสนับสนุนด้วยดีจากคนไทยซึ่งกว่าร้อยละ 25 เป็นประชากรจากภาคเกษตรกรรมที่รวมไปถึงประชากรที่อยู่ในภาคปศุสัตว์ เช่น อุตสาหกรรมสุกร ไก่เนื้อ และไก่ไข่ ฯลฯ
ถ้ารัฐบาลสหรัฐยังคงกดดันรัฐบาลไทยให้เปิดตลาดผลิตภัณฑ์เนื้อสุกรจากสหรัฐ แน่นอนว่าเป็นผลดีต่อสภาผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติของสหรัฐและผู้เลี้ยงสุกรสหรัฐ ซึ่งมันจะเป็นภัยพิบัติต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรไทยและกระทบต่อเนื่องไปถึงเกษตรกรพืชอาหารสัตว์อื่นๆ ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้เป็นช่องทางทำมาหากินของคนไทย จากการเสียเปรียบในด้านการแข่งขัน กับ สหรัฐที่เป็นผู้ส่งออกเนื้อสุกรรายใหญ่ที่สุดของโลก
การแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าจำเป็นที่จะต้องขยายการส่งออกแต่ไม่ใช่กระทำการในลักษณะทำลายล้างมนุษยชาติด้วยกัน เพราะว่าการเกษตรเป็นการเลี้ยงชีพพื้นฐานของมนุษยชาติ ฝากให้ท่านพิจารณาด้วยว่ามนุษยธรรมมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความเข้าใจระหว่างประเทศ
ผู้เลี้ยงสุกรไทยขอแนะนำสหรัฐว่าควรหยุดเจรจากดดันรัฐบาลไทยให้เปิดตลาดเนื้อสุกรส่งออกมายังประเทศไทยที่มีผลผลิตมากอย่างท่วมท้นเกินกว่าความต้องการการบริโภคภายในประเทศ ในขณะที่มีการคัดค้านต่อเนื่องจากผู้เลี้ยงสุกรไทย ผู้เลี้ยงสุกรไทยใคร่ขอให้ตระหนักบนพื้นฐานของมิตรภาพระหว่างพลเมืองสหรัฐอเมริกากับพลเมืองของไทย
ข้อมูลจาก : สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งประเทศไทย